รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
ผู้เขียนได้เลือกสรรรูปแบบที่น่าสนใจมานําเสนอ 5 รูปแบบให้ครอบคลุมระดับ การศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวศึกษา ดังนี้
2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกาย(Physical Knowledge Activity)ในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สําหรับเด็กก่อนประถมศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
เตือนใจ ทองสำริด(2531) อาจารย์ประจำสถาบันราชภัฎสวนสุนันทา ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้เป็น
วิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต โดยใช้แนวคิดของเดอวรีส์(Devries) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดของวีก็อทสกี้(Vygotsky) วิธีการทำกิจกรรมทางกาย(Physical Knowledge Activity Approach) เป็นวิธีการที่ให้ผู้เรียนกระทำกิจกรรมทางกาย ซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวโดยการใช้กล้ามเนื้อใหญ่/กล้ามเนื้อเล็ก ในการกระทำกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และใช้ประสามสัมผัสสังเกตปฏิกิริยาของสิ่งที่ถูกกระทำนั้น ซึ่งเป็นผลจากการสังเกต จะทำให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทางสติปัญญา โดยผู้เรียนสร้าง(Construct) ความคิดหรือความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งความคิดหรือความรู้ในเด็กระดับชั้นอนุบาลนั้นเกิดขึ้นในขั้นรับรู้(perceive)หรือรู้สึก(feel) เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นอธิบายเหตุผล
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทาง
วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษา มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมพัฒนาทางกายอารมณ์ และสังคมของเด็กก่อนประถมศึกษา
ค.กระบวนการการเรียนการสอนของรูปแบบ
1.ขั้นสร้างสถานการณ์ปัญหาและและนำอุปกรณ์
2.ขั้นสำรวจตรวจค้นและชักจูง
3.ขั้นขยายประสบการณ์
4.ขั้นสรุปและประเมินผล
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนและสนใจสื่อมากขึ้น
2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท(Anchored Instruction) เพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
วิโรจน์ วัฒนานิมิตกูล (2540:37-38) ได้ให้ความหมายของ “anchor”ตามลักษณะการใช้งานได้ว่าเป็น1.จุดรวม 2.ความลึก 3.ความกว้าง ซึ่งแสดงถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นำสาระซึ่งมีความซับซ้อนทั้งทางกว้างและลึกและมีมุมมองได้หลายด้านมาเป็นเนื้อหาการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าและสรุปเป็นองค์รวมได้
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท(Anchored Instruction) นี้ สามารถนำไปใช้สอนเนื้อหาวิชาต่างๆได้ไม่จำกัด แต่เนื้อหานั้นควรมีความซับซ้อนทั้งทางลึก ทางกว้าง และมีมุมมองได้หลายแบบ การใช้รูปแบบจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหานั้นๆอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่1การจัดเตรียมสาระอิงบริบท
ขั้นที่2การดำเนินการเรียนการสอน
ขั้นที่3ผู้เรียนกำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษาค้นคว้า
ขั้นที่4ผู้เรียนคาดคะเนผล
ขั้นที่5ผู้เรียนกำหนดวิธีการค้นคว้า
ขั้นที่6ผู้เรียนดำเนินการค้นคว้า
ขั้นที่7ผู้เรียนวิเคราะห์และสรุปผลการค้นคว้า
ขั้นที่8ผู้เรียนทบทวนความรู้เดิม
ขั้นที่9ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
ขั้นที่10ผู้เรียนกำหนดประเด็นค้นคว้าใหม่
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
มีทักษะด้านการแสวงหาความรู้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ที่ดี
2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์(Constructivism) สําหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ไพจิตร สะดวกการ(2538) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์นี้ขึ้นเป็นงานวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต เพื่อใช้สอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โดยใช้แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.การเรียนรู้คือการสร้างโครงสร้างทางปัญญาที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาหรืออธิบายสถานการณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องได้
2.นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีการต่างๆกัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิม โดยโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่ ความสนใจ และแรงจูงใจภายในตนเองเป็นจุดเริ่มต้น
3.ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาของนักเรียนเองภายใต้สมมติฐาน(assumption)
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งเน้นพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดการรียนรู้อย่างเข้าใจ จากากรมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นตอนที่1สร้างความขัดแย้งทางปัญญา
ขั้นตอนที่2ดำเนินกิจกรรมการไตร่ตรอง
ขั้นตอนที่3สรุปผลการสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะมีความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ที่ตนและกลุ่มเพื่อนได้ร่วมกันคิดโดยกระบวนการสร้างความรู้ และพัฒนาทักษะกระบวนการที่สำคัญๆ ทางคณิตศาสตร์อีกหลายประการ
2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ(Process Approach) สําหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการนี้ เป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตของ พิมพันธ์ เวสสะโกศล ซึ่งพัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากแนวคิดพื้นฐานที่ว่า การเขียนเป็นกระบวนการทางสติปัญญาและภาษา(intellectual linguistic) การเรียนการสอนจึงมุ่งเน้นที่กระบวนทั้งหลายที่ใช้ในการสร้างงานเขียน การสอนควรเป็นการเสนอแนะวิธีการสร้างและเรียบเรียงความคิดมากกว่าจะเป็นการสอนรูปแบบและโครงสร้างของภาษา กระบวนการที่ผู้เรียนควรจะพัฒนานั้น เริ่มตั้งแต่ก่อนการเขียน ซึ่งประกอบด้วยทักษะการสร้างความคิด การค้นหาข้อมูลและการวางแผนการเรียบเรียงข้อมูลที่จะนำเสนอ ส่วนในขณะที่เขียนได้แก่ การร่างงานเขียน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการจัดการความคิดหรือข้อมูลต่างๆให้เป็นข้อความที่ต่อเนื่อง สามารถให้สื่อความหมายได้ชัดเจน มีความถูกต้องของหลักไวยากรณ์และการเลือกใช้คำ
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามรถเขียนภาษาอังกฤษในระดับข้อความ(discourse) ได้ โดยข้อความนั้นสามารถสื่อความหมายได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นข้อความที่ถูกต้องทั้งหลักการใช้ภาษาและหลักการเขียน นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้กระบวนการเขียนในกาสร้างงานเขียนที่ดีได้ด้วย
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่1ขั้นก่อนการเขียน
-รวบรวมข้อมูล
-การเรียบเรียงข้อมูล
-การเรียนรู้ทางภาษา เป็นการสร้างความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างภาษาและศัพท์ที่จะนำมาใช้ในการเขียน
ขั้นที่2ขั้นร่างงานเขียน
ขั้นที่3ขั้นปรับปรุงแก้ไข
-การปรับปรุงเนื้อหา
-การแก้ไขงานเขียน
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนภาษาอังกฤษสูงขึ้น สามารถนำรูปแบบไปประยุกต์ใช้ในการสอนการเขียนภาษาอังกฤษในระดับอื่นๆด้วย
2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสําหรับครูวิชาอาชีพ
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้น เป็นผลงานทางวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ซึ่งได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้น เพื่อการเรียนการสอนวิชาอาชีพสายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทักษะปฏิบัติ โดยอาศัยแนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ 9 ประการ ซึ่งมีสาระโดยสรุปว่า การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะที่ดีขึ้นนั้น ผู้สอนควรเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์งานที่จะให้ผู้เรียนทำ โดยแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อยๆแต่ละส่วนให้ได้ แต่ก่อนที่จะลงมือทำงาน ควรให้ผู้เรียนมีความรู้ในงานถึงขั้นเข้าใจในงานนั้นเป็นอย่างน้อย รวมทั้งได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึกทำงานด้วยตนเองในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทำงานจริง โดยจัดลำดับการเรียนรู้ตามลำดับตั้งแต่ง่ายไปยาก คือเริ่มจากการให้รับรู้งาน ปรับตัวให้พร้อม ลองทำโดยการเลียบแบบ ลองผิดลองถูก(ถ้าไม่เกิดอันตราย) แล้วจึงให้ฝึกทำเองและทำหลายๆครั้งจนชำนาญ สามารถทำได้เป็นอัตโนมัติ ขณะที่ผู้เรียนควรได้รับข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงงานเป็นระยะๆ และผู้เรียนควรได้รับการประเมินทั้งทางด้านความถูกต้องของผลงาน ความชำนาญในงาน(ทักษะ) และลักษณะนิสัยในการทำงานด้วย
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
มุ่งพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ และเกิดทักษะสามารถที่จะทำงานนั้นได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์ รวมทั้งมีเจตคติที่ดีลักษณะในการทำงานด้วย
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
รูปแบบการสอนนี้ กำหนดยุทธวิธีไว้3ยุทธวิธี ดังนี้
ยุทธวิธีที่1การสอนทฤษฎีก่อนสอนงานปฏิบัติ
ดำเนินการ ดังนี้
1.1ขั้นนำ เป็นขั้นแนะนำงานและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเห็นคุณค่าของงาน
1.2ขั้นให้ความรู้ เป็นขั้นที่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่จะปฏิบัติ
1.3ขั้นฝึกปฏิบัติ เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงาน
1.4ขั้นการประเมินผลการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนประเมินทักษะปฏิบัติงานและลักษณะนิสัยการทำงานของผู้เรียน
1.5ขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้
ยุทธวิธีที่2 การสอนงานปฏิบัติก่อนสอนทฤษฎี
2.1ขั้นนำ(ปฏิบัติเหมือนกับยุทธวิธีที่1)
2.2ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติและสังเกตการณ์ และมีการจดบันทึก
2.3ขั้นวิเคราะห์การปฏิบัติงานและสังเกตการณ์ ร่วมกันวิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติ และอภิปรายผลการวิเคราะห์
2.4ขั้นเสริมความรู้ ผู้สอนจะเสริมความรู้ให้แก่ผู้เรียน
2.5ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติงานใหม่ เมื่อพบจุดบกพร่อง
2.6ขั้นการประเมินการการเรียนรู้(ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธวิธีที่1)
2.7ขั้นการประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้
ยุทธวิธีที่3การสอนทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน
3.1ขั้นนำ
3.2ขั้นให้ความรู้ ให้ปฏิบัติ และให้ข้อมูลย้อนกลับไปพร้อมๆกัน
3.3ขั้นให้ปฏิบัติงานตามลำพัง
3.4ขั้นการประเมินผลการเรียนรู้
3.5ขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้งานปฏิบัติ
***เงื่อนไขที่ใช้ในการพิจารณาเลือกยุทธวิธีที่สอน***
ยุทธวิธี1 เหมาะสำหรับการสอนเนื้อหาของการปฏิบัติงานที่มีลักษณะซับซ้อนหรือเสี่ยงอันตราย และลักษณะของเนื้อหาสามารถแบ่งแยกส่วนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติได้อย่างชัดเจน
ยุทธวิธี2 เหมาะสำหรับเนื้อหางานปฏิบัติที่มีลักษณะไม่ซับซ้อนหรือเป็นงานปฏิบัติที่ผู้เรียนมีปะสบการณ์มาแล้ว เป็นงานที่มีความเสี่ยงอันตรายกับชีวิตน้อย
ยุทธวิธี3 เหมาะสำหรับบทเรียนที่มีลักษณะของเนื้อหาภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านทฤษฎีถึงขั้นความเข้าใจและสามารถปฏิบัติงานให้ประสบผลสำเร็จได้ดี และสามารถที่ปฏิบัติงานให้มีคุณภาพ รวมทั้งได้แสดงพฤติกรรมของการมีนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น